
ปลั๊กไฟในห้องพักโรงแรมบางแห่งมีจำกัด บางคนอาจเคยแก้ปัญหาด้วยการถอดปลั๊กอุปกรณ์บางชนิดภายในห้อง เพื่อใช้งานปลั๊กไฟบริเวณนั้นแทน แต่สำหรับบางโรงแรม วิธีการนี้อาจจะกลายเป็นหายนะอย่างที่คาดไม่ถึง
วันที่ 15 ตุลาคม 2568 เว็บไซต์ Sin Chew เผยเรื่องราวจากหญิงรายหนึ่งในบาฮามาส เมื่อไม่นานมานี้เธอได้ออกมาแชร์ประสบการณ์ขณะไปเที่ยวพักผ่อนที่ลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา แต่กลับถูกโรงแรมเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มมากกว่า 224 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 7,200 บาท) เนื่องจากเธอถอดปลั๊กในห้องพักเพื่อชาร์จโทรศัพท์มือถือให้ลูกชาย
ชารินา บัตเลอร์ ได้แชร์เรื่องนี้ผ่านทาง TikTok โดยเล่าว่า เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เธอและครอบครัวเดินทางไปเที่ยวที่ลาสเวกัส และเข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่ง เธอได้ถอดปลั๊กที่เสียบอยู่กับถาดวางมินิบาร์ข้างเตียงเพื่อชาร์จโทรศัพท์มือถือให้ลูกชาย โดยที่เธอก็คิดว่าเป็นวิธีธรรมดาทั่วไป และไม่มีปัญหาอะไรตามมา
กระทั่งหลังจากผ่านไป 4 วัน เมื่อถึงเวลาเช็กเอาต์ ปรากฏว่าเธอกลับได้รับแจ้งว่ามีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมมากถึง 224 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 7,200 บาท สร้างความตกใจและสับสนเป็นอย่างยิ่ง โดยทางโรงแรมแจ้งว่าเป็นค่าธรรมเนียมที่เธอชาร์จไฟตรงจุดที่เธอถอดปลั๊กออก
ชารินา เผยว่า เธอไม่ทันสังเกตเห็นว่าที่ถาดนั้นมีการ์ดใบเล็ก ๆ เขียนคำเตือนว่า "หากถอดปลั๊กเพื่อชาร์จ คุณจะถูกเรียกเก็บเงิน 56 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1,800 บาท) ต่อคืน" ทั้งนี้ เธอยังไม่ได้รับแจ้งจากพนักงานก่อนว่าจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมในส่วนนั้น
"ตัวหนังสือมันเล็กมาก และฉันไม่ได้ตั้งใจจะไปแตะต้องอะไรในถาดนั้น ใครจะไปมองเห็นการ์ดใบนั้นกัน"
ชารินา อธิบายว่า ถาดดังกล่าววางอยู่ใกล้กับเก้าอี้ ซึ่งคนส่วนใหญ่ที่พักอยู่ในห้องคงอยากจะนั่ง แต่ไม่มีปลั๊กที่ชาร์จไฟอยู่ใกล้ ทั้งนี้ ในบริเวณใกล้ ๆ กับปลั๊กไฟก็ไม่มีข้อความใด ๆ ที่ระบุถึงค่าธรรมเนียมในการถอดปลั๊ก เธอเชื่อว่าวิธีการคิดเงินของโรงแรมนั้นไม่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง
โพสต์ดังกล่าวถูกแชร์ต่อกันออกไปและก่อให้เกิดกระแสถกเถียงอย่างดุเดือด หลายคนเข้าไปแสดงความประหลาดใจและวิพากษ์วิจารณ์ว่า "พวกเขาคิดเงินได้ทุกอย่าง ในรูปแบบที่เกินจริงไปทุกที"
ทั้งนี้ มีผู้ใช้โซเชียลรายหนึ่งได้คอมเมนต์แชร์ประสบการณ์ที่คล้ายกันว่า "ฉันเคยเจอถาดแบบนี้ในห้อง ฉันอยากให้พวกเขาเอาถาดออกไป แต่พวกเขาบอกว่าต้องเสียเงิน 50 ดอลลาร์ เพื่อเอาออก มันเป็นอีกวิธีหนึ่งที่พวกเขาจะหลอกคนอื่น"
ขอบคุณข้อมูลจาก Sin Chew, New York Post