
วันที่ 17 กันยายน 2568 นพ.เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา โพสต์ให้ความรู้ด้านสุขภาพผ่านเพจเฟซบุ๊ก หมอเจด ในหัวข้อ มะเร็งลำไส้ในคนหนุ่มสาว 7 บทเรียนจากการจากไปของคุณหมอวัย 30 ปี จากกรณีการจากไปของ กัปตัน นายแพทย์พีรวัฒน์ หรือ หมอพี
1. มะเร็งลำไส้ ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป
เมื่อก่อนเรามักจะคิดว่า มะเร็งลำไส้ = โรคของผู้สูงอายุ แต่ข้อมูลล่าสุดกลับบอกว่าไม่ใช่อีกแล้วครับ งานวิจัยจาก American Cancer Society ปี 2023 พบว่า ผู้ป่วยมะเร็งลำไส้อายุต่ำกว่า 50 ปี เพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา จนถึงขั้นต้องมีคำว่า Early-Onset Colorectal Cancer ขึ้นมาโดยเฉพาะ ที่น่าคิดคือ ในกลุ่มอายุน้อย โอกาสถูกวินิจฉัยช้าและเสียชีวิตกลับสูงกว่ากลุ่มผู้สูงอายุด้วยซ้ำ เพราะคนไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นโรคนี้ เรื่องราวของคุณหมอวัย 30 ปีที่จากไป จึงเป็นเครื่องเตือนใจว่า โรคนี้ไม่ได้เลือกอายุ แม้เราจะยังหนุ่มสาวก็ไม่ควรละเลยการดูแลสุขภาพหรือตรวจร่างกาย
2. อาการเล็กน้อยที่ไม่ควรมองข้าม
หลายครั้งร่างกายพยายามส่งสัญญาณ แต่เราไม่ฟัง เช่น ปวดท้องบ่อย ๆ แน่นท้องหลังอาหาร กินได้น้อยลง หรือถ่ายผิดปกติสลับท้องผูก-ท้องเสีย ถ้าเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวอาจไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นบ่อยเกิน 2-3 สัปดาห์ หรือมีอาการร่วมกับน้ำหนักลดโดยไม่ตั้งใจ ควรไปพบแพทย์ทันทีครับ เพราะในความเป็นจริง 70-80% ของผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ระยะต้น ๆ มักมีอาการเพียงเล็กน้อยที่คล้ายโรคทั่วไป เช่น กรดไหลย้อนหรือลำไส้แปรปรวน บางกรณีเริ่มจากอาการจุกแน่นท้องและกินได้น้อยลง ฟังดูไม่ร้ายแรง แต่กลับเป็นสัญญาณโรคที่ซ่อนอยู่ เราจึงควร เชื่อสัญชาตญาณของตัวเอง และอย่ารอให้สายเกินไป

3. ปัจจัยเสี่ยงในยุคปัจจุบัน
วิถีชีวิตยุคใหม่คือปัจจัยเสี่ยงสำคัญของมะเร็งลำไส้ งานวิจัยจาก WHO ระบุว่า การกินเนื้อแปรรูป (ไส้กรอก แฮม เบคอน) เพียง 50 กรัมต่อวัน หรือประมาณวันละ 1 ห่อ เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ได้ถึง 18% เนื้อแดงมาก ๆ ก็เป็นอีกปัจจัย โดยเฉพาะเนื้อแดงที่ถูกย่างจนไหม้เกรียมที่หลายคนชอบ บวกกับการนั่งทำงานนาน ๆ ไม่ค่อยออกกำลังกาย ทำให้การเคลื่อนไหวของลำไส้น้อยลง เสี่ยงเกิดการอักเสบเรื้อรัง เมื่อรวมกับการดื่มน้ำหวานและกินอาหารฟาสต์ฟู้ด ก็คือเชื้อไฟชั้นดี อีกทั้งคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยยังมีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็ง ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไปถึง 2-3 เท่า
พูดง่าย ๆ ว่า ถ้าอยากลดความเสี่ยง คำตอบคือ เลี่ยง อาหารแปรรูป (processed food) กินผัก-ผลไม้มากขึ้น และขยับร่างกายให้เยอะกว่าที่คิดว่า พอแล้ว
4. ความสำคัญของการเจอโรคให้เร็วที่สุด
เจอเร็ว = รักษาได้ เจอช้า = โอกาสหายลดลง ฟังเหมือนคำโฆษณา แต่เป็นความจริงทางการแพทย์ครับ สถิติชี้ว่า มะเร็งลำไส้ระยะที่ 1 มีโอกาสรอดชีวิต 5 ปี มากกว่า 90% แต่ถ้าเจอตอนลุกลามไปตับหรือปอดแล้ว ตัวเลขจะเหลือเพียง 14% เท่านั้น เรื่องคุณหมอวัย 30 ปีที่ถูกตรวจพบก้อนในตับตั้งแต่แรก คือภาพสะท้อนว่าโรคนี้อาจวิ่งเร็วกว่าที่เราคิด เราจึงควรใส่ใจอาการผิดปกติ และอย่ากลัวการตรวจลำไส้ เพราะการส่องกล้องไม่ได้น่ากลัวเหมือนในอดีต แต่คือ "ประกันชีวิต" ที่อาจช่วยเราได้จริง ๆ
5. ตรวจคัดกรอง ควรเริ่มเมื่อไร
ไกด์ไลน์ล่าสุดของ American Cancer Society แนะนำให้คนทั่วไปเริ่มตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ตั้งแต่อายุ 45 ปี (จากเดิม 50 ปี) เพราะอุบัติการณ์ในคนอายุน้อยพุ่งสูงขึ้น ส่วนคนที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็ง ควรเริ่มตรวจเร็วกว่านั้น คืออายุน้อยกว่าญาติที่เป็นโรค 10 ปี
วิธีคัดกรองมีตั้งแต่ง่าย ๆ อย่างตรวจอุจจาระหาเลือดแฝง (FIT test) ปีละครั้ง ไปจนถึงการส่องกล้อง colonoscopy ทุก 5-10 ปี ซึ่งแม่นยำและสามารถตัดติ่งเนื้อก่อนกลายเป็นมะเร็งได้ด้วย
ข้อสำคัญคืออย่าคิดว่า ยังหนุ่ม ยังไม่เป็นหรอก เพราะโรคไม่ได้ถามอายุก่อนมาเยือน
6. ใช้ชีวิตวันนี้ เพื่อป้องกันวันหน้า
การป้องกันไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลย เริ่มจากการกินผัก-ผลไม้ให้มากพอ (วันละอย่างน้อย 400 กรัม หรือครึ่งจาน ทุกมื้อ) กินธัญพืชเต็มเมล็ด ดื่มน้ำสะอาดเพียงพอ และลดอาหารที่ผ่านกระบวนการปรุงแต่ง งานวิจัยพบว่า ไฟเบอร์สูงช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ได้กว่า 30%
การออกกำลังกายสม่ำเสมอ 150 นาทีต่อสัปดาห์ ก็ช่วยลดการอักเสบและเร่งการเคลื่อนไหวของลำไส้ การนอนหลับเพียงพอและการลดความเครียดยังสำคัญไม่แพ้กัน เพราะฮอร์โมนคอร์ติซอลที่สูงเรื้อรังมีผลกระตุ้นการอักเสบด้วย จะเห็นว่าการป้องกันไม่ใช่เรื่องยาก แต่คือการเลือกเล็ก ๆ ในทุกวัน ที่สะสมแล้วสร้างเกราะป้องกันให้เรา หรือพูดตรง ๆ ก็คือ ควรลดความอ้วนด้วย
7. ฝากถึงกันด้วยความห่วงใย
เรื่องราวการจากไปของคุณหมอวัยเพียง 30 ปี เป็นสิ่งที่สะเทือนใจ เพราะท่านคือคนที่ช่วยชีวิตผู้อื่น แต่กลับต้องจากไปด้วยโรคร้าย เรื่องนี้ไม่ได้ถูกเล่าขึ้นมาเพื่อสร้างความกลัว แต่เพื่อย้ำว่า สุขภาพคือสิ่งที่เราต้องดูแลตั้งแต่วันนี้ ไม่ใช่รอให้เจ็บป่วยก่อน หากเราหมั่นตรวจร่างกาย ไม่มองข้ามสัญญาณเตือน และใช้ชีวิตที่เอื้อต่อสุขภาพดี เราจะไม่เพียงปกป้องตัวเอง แต่ยังมอบความสบายใจให้คนที่เรารัก ไม่ต้องเสียใจในวันที่อาจสายเกินไป
ขอบคุณข้อมูลจาก
เฟซบุ๊ก หมอเจด