ช็อก ทารกหัวขาดตอนคลอด ตัวคาอยู่ในครรภ์แม่ ครอบครัวรับไม่ได้จี้ขอคำอธิบาย ฝ่ายเจ้าหน้าที่ยัน ทารกหัวใจไม่เต้น ตายตั้งแต่ในครรภ์ ที่หัวขาดคือเหตุสุดวิสัย

วันที่ 25 สิงหาคม 2568 เว็บไซต์ SETN รายงานกรณีสุดช็อกที่เกิดขึ้นในศูนย์อนามัยพินังโซรี จังหวัดสุมาตราเหนือ ประเทศอินโดนีเซีย หลังพบว่าระหว่างการทำคลอดเคสหนึ่ง เจ้าหน้าที่ทำศีรษะเด็กขาดออกจากลำตัว โดยช่วงตัวของเด็กยังคาอยู่ในครรภ์มารดา เมื่อเรื่องดังกล่าวถูกเปิดเผย จึงกลายมาเป็นประเด็นร้อนที่สังคมรวมถึงทางครอบครัวต้องการคำตอบ
รายงานจากสื่อท้องถิ่นเผยว่า ในช่วงเช้าวันที่ 18 สิงหาคม ที่ผ่านมา หญิงรายหนึ่งไปทำคลอดที่ศูนย์อนามัยในท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม ลิสน่า ปันจาอิตัน หัวหน้าชุดเตรียมพร้อมรับเหตุฉุกเฉิน จากสำนักงานสาธารณสุขเขตทานาห์ปุลี อธิบายว่า เจ้าหน้าที่วัดความดันโลหิตของมารดา พบว่ามีความดันสูงมากจึงให้ยาลดความดัน แต่ระหว่างการทำคลอด เจ้าหน้าที่กลับพบว่าตัวอ่อนในครรภ์ไม่มีชีพจรแล้ว
ลิสน่า ระบุว่า ทีมแพทย์ยังตรวจดูชีพจรของทารกในครรภ์ซ้ำอีก 4 ครั้ง แต่ก็ไม่พบการเต้นของหัวใจ นั่นหมายถึงทารกเสียชีวิตตั้งแต่อยู่ในครรภ์ อย่างไรก็ตาม เพื่อไม่ให้ทางครอบครัวต้องเผชิญความเศร้า พวกเขาจึงยังไม่ได้บอกความจริงทันที และแนะนำให้ย้ายไปทำคลอดยังโรงพยาบาลที่ใหญ่กว่า จะได้มั่นใจว่าการคลอดเป็นไปอย่างราบรื่นและมารดาปลอดภัย แต่ทางครอบครัวปฏิเสธถึง 4 ครั้ง และยืนกรานให้ทำคลอดที่นี่
ทั้งนี้ ทารกหนัก 4.2 กิโลกรัม ซึ่งตามทฤษฎีเมื่อทารกเสียชีวิตในครรภ์ กระดูกจะเปราะกว่าปกติ ตลอดจนหญิงรายนี้ไม่สามารถออกแรงเบ่งได้ เจ้าหน้าที่จึงต้องใช้วิธีกดหน้าท้องจากภายนอก และดึงศีรษะของทารกพร้อมกันเพื่อทำคลอด แต่ไม่คิดว่าระหว่างนั้นศีรษะเด็กจะขาด
แม้ภายหลังหญิงรายดังกล่าวจะพ้นขีดอันตรายและไม่มีอาการเลือดออกมาก แต่ครอบครัวยังตั้งคำถามว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นความประมาททางการแพทย์หรือไม่ รวมถึงเรียกร้องขอคำอธิบาย
"เราแค่อยากรู้ว่าทำไมจึงเกิดความประมาทที่น่าสลดใจเช่นนี้ ทำหัวขาดตกลงพื้น แต่ตัวยังติดอยู่ในร่างกาย" ครอบครัว ระบุ
อย่างไรก็ตาม ลิสน่าย้ำว่าขั้นตอนปฏิบัติงานของทีมแพทย์ สอดคล้องกับมาตรฐานในการปฏิบัติงาน จึงไม่ใช่ความผิดพลาดทางการแพทย์แต่อย่างใด และยืนยันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นมาตรการที่จำเป็นเพื่อช่วยชีวิตมารดา หากทางครอบครัวต้องการฟ้องร้อง ทางศูนย์ฯ ก็ได้เตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องไว้พร้อมสู้คดีแล้ว
ขอบคุณข้อมูลจาก SETN