
ภาพจาก X @impeachii
จากเรื่องราวของไข่เจียวปูเจ๊ไฝ 4,000 บาท ซึ่งต่อมา พีชชี่ ยูทูบเบอร์สาวได้ออกมาเล่าดีเทลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนถูกคิดราคา VVIP โดยเผยว่ามีรุ่นพี่ที่รู้จัก พาไปกินที่ร้าน โดยรุ่นพี่เป็นคนสั่งอาหารทั้งหมดเพราะเป็นลูกค้าประจำ ระหว่างรออาหารยังมีการดูเมนูและพูดถึงเรื่องราคาอาหารกันเลย พร้อมชี้ดูราคาบนเมนู 1,500 บาท ทำให้จำราคาได้ ก่อนที่จะพบว่าราคาในบิลไม่ได้เป็นไปตามเมนู โดยมีทั้งค่าไข่เจียวปู 4,000 บาท และข้าวผัดหมู 1,000 บาท นั้น
อ่านข่าว : พีชชี่ เล่าดีเทลไข่เจียวปู 4,000 จุดนี้คิดว่าทำให้ VVIP จริง แต่คนเจอจุดพีคกว่า
ล่าสุด (20 สิงหาคม 2568) พีชชี่ ได้เปิดคลิปที่บันทึกภาพเหตุการณ์ขณะพูดคุยเรื่องราคาไข่เจียวปู หลังได้เห็นราคาในเมนู ซึ่งจากคลิป ดร.ภัทราภา ชาดิษฐ์ ซึ่งเป็นรุ่นพี่คนไทยที่มาด้วยกัน เล่าจากปากว่า
"สมัยก่อนพี่กินตั้งแต่ไข่เจียวปูราคา 300 จนตะกี๊พี่เห็นราคาแล้วตกใจ 1,500"

ภาพจาก X @impeachii
ก่อนจะชี้นิ้วไปยังราคาบนเมนู แล้วหันไปเล่าเป็นภาษาอังกฤษให้ มาร์ทา น้องสาวคนสนิทของพีชชี่ ซึ่งเป็นชาวต่างชาติ ได้ฟังอีกรอบ ย้ำว่าราคาขึ้นมา 5 เท่า ถ้าคำนวณไม่ผิด

ภาพจาก X @impeachii
จากนั้นก็มีชาวเน็ตจำนวนมากเข้ามาคอมเมนต์ ชมว่าสมกับเป็น
Vlogger ที่เก็บหลักฐานครบหมด บันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วว่าในเมนู
รุ่นพี่ก็ยังคิดว่าไข่เจียวปูราคา 1,500 บาท เช่นกัน และแนะนำให้ร้องเรียน
สคบ.
อย่างไรก็ตาม พบว่าวานนี้ (19 สิงหาคม) ดร.ภัทราภา ได้เปิดใจถึงดราม่ากับเดลินิวส์ออนไลน์ ระบุว่า ร้านเจ๊ไฝถือเป็นร้านเก่าแก่ เจ้าของร้านและพนักงานทุกคนจำได้ว่าลูกค้าประจำคนไหนชอบกินอะไร เพราะมีความคุ้นเคยกัน จนเรียกได้ว่ารู้ใจกัน เจ๊จำได้ว่าลูกค้าชอบหรือไม่ชอบอะไร

ภาพจาก X @impeachii
ส่วนเรื่องที่มีการพูดถึงราคาไข่เจียวปู วันที่เกิดเหตุก็เป็นไปตามที่อธิบายด้านบนว่า เจ๊ไฝทำอาหารตามที่ลูกค้าประจำเคยกิน และอาจจะไม่ได้มีการอธิบายให้กับเพื่อนที่มาด้วยกันให้รับทราบ จึงเกิดการเข้าใจผิดขึ้น ซึ่งเป็นการจัดทำให้สำหรับลูกค้าคุ้นเคยหรือลูกค้า VVIP เท่านั้น

ภาพจาก X @impeachii
เราก็อยากอธิบายว่า ทางร้านเจ๊ไฝไม่ได้มีเจตนาจะเอาเปรียบลูกค้า และลูกค้าที่กินกันเป็นประจำ ก็เข้าใจเมนูนี้เป็นอย่างดี และ ดร.ภัทร ก็มีการอธิบายกับเพื่อน (พีชชี่) เรียบร้อย ส่วนคนที่วิจารณ์เป็นผู้ใหม่ที่มาร่วมกินอาหารกับผู้ที่คุ้นเคย เจ๊ไฝจึงทำอาหารแบบ VVIP ให้แบบชนิดมองตาก็รู้ใจ โดยที่ผู้วิจารณ์นั้น วิจารณ์ไปโดยไม่รู้เรื่องเช่นนี้มาก่อน เรื่องราวจึงเป็นอย่างนี้