
ภาพจาก TikTok @vncvncvn
วันที่ 12 สิงหาคม 2568 เว็บไซต์ MS News รายงานว่า คลิปเงาสะท้อนบนกระจกรถเมล์ที่สาวคนหนึ่งพบเจอขณะขึ้นรถเมล์เที่ยวดึก กลายมาเป็นไวรัลชวนหลอนที่ถูกพูดถึงในสิงคโปร์ พร้อมกับคำถามที่เจ้าตัวทิ้งไว้ "คุณเห็นแบบที่ฉันเห็นไหม ?"
ทุกอย่างในคลิปดูเหมือนจะปกติดีในตอนแรก โดยคลิปเผยให้เห็นภาพที่ถูกบันทึกขณะรถเมล์วิ่งอยู่บนถนน บริเวณกระจกมีเงาสะท้อนของเด็กชายที่กำลังก้มหน้าเล่นโทรศัพท์มือถือ แต่เมื่อหมุนกล้องกลับมาภายในรถ กลับพบเพียงความว่างเปล่า นอกจากคุณลุงที่นั่งอยู่บริเวณด้านหน้ารถแล้ว ก็ไม่มีใครอื่นอีก ราวกับเด็กชายคนนี้หายตัวไปเฉย ๆ

ภาพจาก TikTok @vncvncvn
"ฉันกลัวจริง ๆ นะ อะไรเนี่ย" สาวเจ้าของคลิป ระบุ
นับตั้งแต่คลิปดังกล่าวถูกโพสต์บน TikTok @vncvncvn เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ที่ผ่านมา ก็ได้กลายเป็นไวรัลชวนหลอนที่ชาวเน็ตพูดถึงกันอย่างมาก โดยส่วนใหญ่ยอมรับว่าตกใจและขนลุกกับสถานการณ์สุดประหลาดนี้ เพราะไม่มีเด็กชายอยู่บนรถจริง ๆ พร้อมตั้งคำถามว่า เด็กชายหายไปไหน ? โดยมีคอมเมนต์ เช่น
"เด็กที่สะพายกระเป๋าเป็นใคร น่ากลัวมาก"
"อยู่ ๆ เด็กก็หายไปเหรอ ?"
อย่างไรก็ตาม ชาวเน็ตหลาย ๆ คนต่างช่วยกันวิเคราะห์ คาดเดาถึงที่มาที่ไปของเด็กชายที่ไม่ใช่เหตุผลเหนือธรรมชาติ โดยสงสัยว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีรถเมล์อีกคันวิ่งอยู่ข้าง ๆ ขณะที่บางคนมองว่า เธอคนนี้ควรจะกลัวลุงที่อยู่ในรถมากกว่า เพราะเขาไม่มีเงาสะท้อนบนกระจก

ภาพจาก TikTok @vncvncvn
ทั้งนี้ ในโพสต์ต่อมา เจ้าของคลิปออกมาเล่าว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นช่วงกลางดึก หลังจากเธอขึ้นรถมาจากสถานีรถไฟใต้ดิน โดยเกือบตลอดทั้งเส้นทาง ภายในรถมีผู้โดยสารแค่เธอกับคุณลุงด้านหน้า แต่จู่ ๆ เธอก็เห็นเงาสะท้อนเด็กชายในกระจก ทั้งที่ตอนนั้นมีผู้โดยสารบนรถเพียง 2 คน ทำให้เธอตกใจมาก เลยหันไปดูอีกที เงาเด็กก็ยังอยู่ แต่ในรถไม่มีเด็กคนนี้อยู่จริง ๆ

ภาพจาก TikTok @vncvncvn
"ในที่สุดมันก็เกิดขึ้นกับฉันเหรอ ? เรื่องสยองบนรถเมล์ ผีบนรถเมล์ ? ในที่สุดฉันก็ได้เห็นด้วยตาตัวเองเหรอ ?" หญิงสาวถามตัวเอง และเชื่อว่าสิ่งที่เห็นคือผีจริง ๆ
อย่างไรก็ตาม ต่อมาหญิงสาวได้เฉลยว่า หลังจากความตกใจในตอนแรก ต่อมาเธอจึงรู้ว่าเด็กชายที่เห็นนั้นไม่ใช่ผีแต่อย่างใด แต่เป็นคนที่ยืนอยู่บนรถเมล์อีกคัน ที่ขับมาอยู่ข้าง ๆ รถของเธอ ซึ่งนั่นทำให้เธอยิ้มออก โล่งใจสุด ๆ ที่ไม่ได้เจอกับเรื่องขนหัวลุกเข้าจริง ๆ

ภาพจาก TikTok @vncvncvn
ขอบคุณข้อมูลจาก MS News