จับสึกเจ้าอาวาสวัดเส้าหลิน เซ่นสอบปมยักยอก มั่วสีกาหลายคน ซ้ำซุกลูกนอกสมรส

        เจ้าอาวาสวัดเส้าหลิน ถูกจับสึก พร้อมสอบสวนปมยักยอกเงินวัด มีสัมพันธ์ชู้สาวกับสีกาหลายคน แถมซุกลูกไว้ สมาคมพุทธจีนลั่น ทำลายภาพลักษณ์พระสงฆ์ 
        ข่าวอื้อฉาวในวงการศาสนายังคงเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจ ขณะที่ล่าสุดแม้แต่วัดดังของจีนซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าถึง 1,500 ปี ก็ยังปรากฏข่าวจับสึกเจ้าอาวาสเช่นกัน หลังมีกระแสข่าวพัวพันในเรื่องสีกาและซุกลูกนอกสมรส 

        โดยวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 สำนักข่าวบีบีซี รายงานว่า ซื่อหย่งซิ่น เจ้าอาวาสวัดเส้าหลิน กำลังถูกหลายหน่วยงานสอบสวนในเรื่องของการทุจริตยักยอก การมีความสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสมกับผู้หญิงหลายคน รวมถึงเรื่องการเป็นพ่อของบุตรนอกสมรส ซึ่งทางวัดเส้าหลินก็ได้ออกมายืนยันข่าวดังกล่าว 
 
        ซื่อหย่งซิ่น ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสของวัดเส้าหลินตั้งแต่ปี 2542 ได้รับสมญานามเป็น "พระซีอีโอ" จากการเปลี่ยนสถาบันเก่าแก่นี้ ให้กลายมาเป็นแบรนด์ระดับโลกในเชิงพาณิชย์ อย่างไรก็ตาม ทางสมาคมพุทธศาสนาของจีน ยืนยันว่า ซื่อหย่งซิ่น ได้ถูกเพิกถอนใบรับรองสถานภาพนักบวชแล้ว หรือถูกจับสึก ในช่วงที่มีการสอบสวน 
  
        สมาคมพุทธศาสนาของจีน ยังระบุในแถลงการณ์ว่า การกระทำของ ซื่อหย่งซิ่น เป็นสิ่งที่เลวร้ายอย่างยิ่ง รวมทั้งยังทำลายชื่อเสียงชุมชนพุทธศาสนาและภาพลักษณ์ของพระภิกษุ 
 

        อนึ่ง ภายใต้การดูแลชี้นำของ ซื่อหย่งซิ่น วัดเส้าหลินที่ตั้งอยู่ในเทือกเขาของมณฑลเหอหนาน เริ่มเปิดโรงเรียนนอกประเทศจีน และจัดตั้งคณะพระที่เดินทางไปทำการแสดงโชว์กังฟูเส้าหลิน ซึ่งเป็นศิลปะการต่อสู้อันเลื่องลือของสำนัก ขณะที่ข่าวอื้อฉาวของ ซื่อหย่งซิ่น ยังกลายมาเป็นประเด็นร้อนบนเว่ยป๋อ โซเชียลมีเดียหลักของจีน 

        ก่อนหน้านี้ ซื่อหย่งซิ่น เคยมีข่าวถูกตรวจสอบมาตั้งแต่ปี 2558 ในข้อกล่าวหาเรื่องการมีสัมพันธ์ทางเพศกับสีกา และยกยอกเงินวัด เขายังถูกกล่าวหาว่ารับของขวัญราคาแพงจากบริษัทและรัฐบาลท้องถิ่น เช่น รถ Volkswagen SUV หรือแม้แต่เสื้อคลุมที่ปักด้ายทอง ช่วงเวลานั้นเขาถูกสอบสวนทั้งเรื่องยกยอกทรัพย์และการเป็นพ่อของเด็กหลายคน แม้ต่อมาจะเคลียร์ข้อกล่าวหาทั้งหมดไปได้ก็ตาม 
 
        โดยปีเดียวกันนั้น ซื่อหย่งซิ่น ได้ให้สัมภาษณ์กับ BBC Chinese เมื่อถูกถามเรื่องทุจริตและสีกา ซึ่งเจ้าตัวระบุว่า หากมีปัญหาจริงก็คงปรากฏออกมานานแล้ว 
  
ขอบคุณข้อมูลจาก BBC