หนุ่มเพิ่งซื้อช็อกโกแลตมาได้แค่วันเดียว แกะห่อแล้วเจอสีขาวกระจายเต็มแท่ง ถามใช่เชื้อราหรือเปล่า ที่แท้ต้นเหตุจากการเก็บรักษา

วันที่ 18 กรกฎาคม 2568 ผู้ใช้เฟซบุ๊ก Waranyu S. Chaikul โพสต์ในกลุ่ม พวกเราคือผู้บริโภค ปรึกษาภาพที่ไม่คุ้นตาบนช็อกโกแลต เนื่องจากไม่ได้เก็บในตู้เย็นและวางไว้ในอุณหภูมิห้องปกติ จนเกิดข้อสงสัยว่ามันคืออะไร
จากภาพเผยให้เห็นแท่งช็อกโกแลตมีสีที่ไม่สม่ำเสมอ ลักษณะสีขาวกระจายเป็นจุด ๆ ทั้งด้านหน้าและด้านหลังแท่งช็อกโกแลต โดยเจ้าของภาพเผยว่า แกะออกมาวันที่ 17 กรกฎาคม แต่พลิกดูพบว่าวันหมดอายุยังเหลืออีกนาน ถึงปี 2026 โดยตั้งข้อสงสัยว่าอาจเป็นเชื้อราหรือไม่นั้น

Sugar bloom
เกิดเมื่อมีความชื้นจากการที่เรานำช็อกโกแลตจากตู้เย็นออกมาที่อุณหภูมิห้อง ความชื้นนี้ไปละลายผลึกน้ำตาลที่แยกตัวจากเนื้อช็อกโกแลตมาที่พื้นผิวจากการเปลี่ยนอุณหภูมิ เมื่อความชื้นหายไปน้ำตาลตกผลึกเห็นเป็นฝุ่นเม็ดเล็ก ๆ หรือจุดดวงขาว ๆ ที่อยู่บนผิวช็อกโกแลต
Fat bloom
เกิดจากการผันแปรของอุณหภูมิในการเก็บ เมื่ออุณหภูมิสูงช็อกโกแลตเกิดการละลายทำให้โมเลกุลของไขมันที่เรียงตัวเกิดการแยกตัวจัดรูปแบบใหม่ เมื่ออุณหภูมิเย็นลงช็อกโกแลตกลับมาแข็งตัวใหม่เกิดลักษณะเป็นฝ้าขาวหรือเป็นลายเส้นสีน้ำตาลอ่อนบนผิวช็อกโกแลต ช็อกโกแลตที่เกิด Chocolate Bloom ไม่เป็นอันตรายในการบริโภค แต่มีผลกับรสชาติและเนื้อสัมผัสของช็อกโกแลต

วิธีการป้องกันการเกิด Chocolate Bloom
1. การเก็บช็อกโกแลต - ควรเก็บในอุณหภูมิที่เหมาะสม คือ 17 – 20 องศาเซลเซียส ไม่เก็บในที่ชื้น เมื่อนำออกจากตู้เย็นไม่ควรวางจนเกิดความชื้นบนช็อกโกแลต
2. การเทมเปอร์ริงช็อกโกแลต (Tempering Chocolate) เป็นขั้นตอนในการทำช็อกโกแลต โดยควบคุมอุณหภูมิการละลายและการเย็นตัวของช็อกโกแลต เพื่อทำให้เกิดโครงสร้างผลึกไขมันเรียงตัวแข็งแรง ทนต่อการเปลี่ยนอุณหภูมิ ทำให้ได้ช็อกโกแลตที่มีเนื้อสัมผัสดีเงาสวยไม่เห็นเป็นฝ้าขาว ๆ
3. การปรับส่วนผสมช็อกโกแลตคือการลดส่วนผสมของน้ำมันอื่นในสูตรช็อกโกแลตที่มีผลต่อโครงสร้างผลึกไขมันในช็อกโกแลต และทำให้ช็อกโกแลตมีเนื้อสัมผัสนุ่ม เช่น น้ำมันปาล์ม เนื่องจากน้ำมันสามารถแยกตัวไปเคลือบที่ผิวช็อกโกแลตทำให้โกโก้บัตเตอร์ละลายเกิด Fat bloom ได้




