อ.เจษฎา เตือน บาดทะยัก โรคที่หลายคนอาจลืมยังมีอยู่ แนะผู้ปกครองอย่าชะล่าใจ

          อ.เจษฎา เผยเคส บาดทะยัก โรคที่หลายคนอาจคิดว่าหายไปแล้ว กลับมาอีกครั้งในเด็กไทย เตือนพ่อแม่อย่าชะล่าใจ รีบพาไปฉีดวัคซีนก่อนสายเกินไป


          วันที่ 14 กรกฎาคม 2568 นายเจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก Jessada Denduangboripant เตือนภัยโรค บาดทะยัก ซึ่งยังไม่หายไปจากประเทศไทย หลังพบเด็กวัย 8 ขวบป่วยหลังฉีดวัคซีนไม่ครบตามเกณฑ์ พร้อมแนะว่าผู้ปกครองอย่าชะล่าใจ เพราะอาการรุนแรงอาจถึงชีวิต

          บาดทะยัก อีกหนึ่งโรคร้ายที่เหมือนคนไทยจะลืม ๆ ไปแล้ว เลยทำให้ไม่ไปฉีดวัคซีนกัน เวลาที่มีแผล ที่อาจติดเชื้อเกิดขึ้นได้ รวมถึงในเด็ก ที่พ่อแม่ไม่พาไปฉีดตามเวลาที่กำหนด หรือมีความเชื่อผิด ๆ ต่อต้านวัคซีน

          บทความจาก น้องหมอมีเคส ระบุว่า พบเคสเด็กชายอายุ 8 ปี มาด้วยอาการปวดกราม ร่วมกับมีกลืนน้ำลายไม่ได้ อ้าปากไม่ได้ ปวดหลัง มีหลังแข็งเป็นบางช่วง เดินแข็งเกร็ง ประมาณ 4 วันก่อนมาโรงพยาบาล

          ตรวจร่างกายพบว่า vital signs stable, alert, no dyspnea, limit open mouse, stiffneck ; positive, clonus ; positive ได้ตรวจ spatula test พบว่า positive ซึ่งเป็นการตรวจที่มี sentivity (94%) และ specificity (100%) สูง

          คนที่เป็นบาดทะยัก (Tetanus) เกิดจากการติดเชื้อ Clostridium tetani ที่ปนเปื้อนผ่านเข้ามาทางบาดแผลที่สกปรก ถ้าไม่มีแผลตามตัว ก็ให้ลองเปิดปากคนไข้อาจจะมีฟันผุ


          มีอาการแข็งเกร็ง เริ่มจากกล้ามเนื้อที่มี axon สั้นก่อน คือ เริ่มต้นจากบริเวณใบหน้า จากนั้นกระจายตัวไปที่กล้ามเนื้อคอ ลำตัว และแขนขา ถ้ามีการแข็งเกร็งที่ขากรรไกร ทำให้ขากรรไกรแข็ง (lock jaw) จากนั้นมีการแข็งเกร็ง (rigidity) ตามมาด้วยการอ้าปากได้น้อย (trismus) จากนั้นจะเกิดการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อหลัง ทำให้หลังแอ่น (opisthotonus) ทั้งนี้ ผู้ป่วยยังรู้สึกตัวดี

          ในเคสนี้ ประวัติที่สำคัญเลยคือ ฉีดวัคซีนไม่ครบตามเกณฑ์เด็กไทย (Incomplete vaccine) วัคซีนป้องกันบาดทะยัก เด็กไทยควรได้รับตอนอายุ 2, 4, 6 เดือน 18 เดือน (กระตุ้นเข็มที่ 1) 4 - 6 ปี (กระตุ้นเข็มที่ 2) และกระตุ้นทุก ๆ 10 ปี

          เชิญผู้ปกครองให้ลูกหลานไปฉีดวัคซีนตามเกณฑ์เด็กไทยให้ครบตามช่วงอายุ เพื่อป้องกันโรคภัยที่เป็นอันตรายถึงขั้นพิการและเสียชีวิต


ขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก Jessada Denduangboripant