อดีตแม่ค้าดัง แฉอดีต สส. หลอก 4.5 ล้าน แลกช่วยคดี สุดพีคหน้ากากหลอน ที่ใส่ทุกครั้ง

          ปูนิ่ม อดีตแม่ค้าดัง แฉอดีต สส. หลอก 4.5 ล้าน แลกช่วยคดี สุดพีคหน้ากากหลอน ที่ใส่ทุกครั้ง สุดท้ายเธอ พ่ายแพ้คดี และถูกจำคุก ซ้ำเมื่อเรียกร้องเงินคืนกลับถูกข่มขู่

จุดเริ่มต้นคดี จากธุรกิจพุ่งแรง แต่ต้องสะดุดเพราะปัญหากฎหมาย

          คุณปูนิ่ม ผู้เสียหาย เล่าว่า ย้อนกลับไปกว่า 10 ปีก่อน เธอโด่งดังในฐานะแม่ค้าออนไลน์ชื่อดัง ขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ธุรกิจของเธอกำลังไปได้สวย กระทั่งวันหนึ่งเธอถูก อย. เข้าตรวจสอบสินค้า และนำไปสู่การมีคดีความในชั้นศาล ช่วงนั้นเธอพยายามหาทางช่วยเหลือตัวเอง จึงติดต่อกับอดีต ส.ส. คนหนึ่งซึ่งอ้างว่าสามารถช่วยวิ่งเต้นเคลียร์คดีให้ เธอตัดสินใจจ่ายเงินให้ถึง 3.5 ล้านบาท แต่สุดท้ายกลับแพ้คดีในชั้นศาลชั้นต้น

          จากนั้น เธอตั้งใจจะสู้ต่อในชั้นอุทธรณ์ มีคนแนะนำให้รู้จักกับนักธุรกิจคนหนึ่ง ซึ่งอ้างว่ารู้จักกับทีมอัยการและสามารถช่วยให้เรื่องจบลงได้อีกทางหนึ่ง ด้วยความไว้ใจ เธอจึงจ่ายเงินให้อีก 4.5 ล้านบาท รวมแล้วเธอสูญเงินไป 9 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม คดีความยังคงเดินหน้าไปตามกระบวนการทางกฎหมาย สุดท้ายเธอแพ้คดี ถูกตัดสินจำคุก และต้องโทษอยู่นานกว่า 1 ปี

          หลังพ้นโทษ เธอจึงออกมาเรียกร้องความเป็นธรรม โดยโพสต์ว่า "อัยการที่โคราชหลอกเอาเงิน 4 ล้าน บอกว่าจะเคลียร์คดีให้ สุดท้ายพี่ติดคุกไปเป็นปี ควรแฉไหมว่าใครเป็นใคร บางคนขู่ยิงเพราะพี่ไปทวงเงินคืน #โหนกระแส" 

          โพสต์ดังกล่าวมีคนเข้ามาแสดงความเห็นหลายคน หนึ่งในนั้นอ้างว่า "ก็เคยโดนเหมือนกัน" และบอกว่า "ถ้าใช่คนนี้ โดนไป 7 ล้านแล้ว เคยไว้ใจ ให้งานช่วยวิ่งคดี สุดท้ายเสียใจแทบขาดใจ"

เล่าปมถูกอดีต ส.ส. ชื่อดัง หลอกเงิน 4.5 ล้าน อ้างช่วยคดีได้

          คุณปูนิ่ม เล่าว่า เธอเคยถูกดำเนินคดีในปี 2557 ในระหว่างนั้น อดีต สส. คนหนึ่งซึ่งอยู่พื้นที่ใกล้เคียง เสนอตัวเข้าช่วยคดี และขอเงินสดไป 3 ล้านบาท ก่อนจะเรียกเพิ่มอีก 1.5 ล้านบาท รวมเป็น 4.5 ล้านบาท แต่เมื่อถึงชั้นศาล เธอก็ยังแพ้คดี 

          เมื่อคิดจะสู้ต่อในชั้นอุทธรณ์ เธอได้รับคำแนะนำให้รู้จักกับนักธุรกิจอีกคนที่มีภาพลักษณ์ดี มีธุรกิจหลากหลาย ทั้งโรงเรียนสองภาษาและร้านอาหาร พร้อมอ้างว่ารู้จักกับอัยการและผู้พิพากษา เธอจึงหลงเชื่อ และให้พี่สาวนำเงินสดไปส่งมอบให้ สุดท้ายเสียเงินเพิ่มอีก 4.5 ล้านบาท รวมเป็น 9 ล้านบาท

          หลังพ้นโทษ เธอพยายามติดต่อบุคคลทั้งสองเพื่อขอเงินคืน แต่ติดต่อไม่ได้ จึงออกมาโพสต์เรียกร้องผ่านโซเชียลเพื่อทวงความยุติธรรมให้ตัวเอง พร้อมยอมรับว่า ตอนนี้ยังรู้สึกกลัวเพราะมีการข่มขู่เกิดขึ้นหลังจากที่ออกมาเปิดเผยเรื่องนี้

แฉพฤติกรรมสุดแปลก อดีต สส. ใส่หน้ากากทุกครั้ง

          อีกประเด็นที่ คุณปูนิ่ม เปิดเผยในรายการ โหนกระแส คือ พฤติกรรมของอดีต สส. ที่มาเจอเธอในช่วงรับเงินนั้น มีการ "ใส่หน้ากาก" ลักษณะเป็นกระดาษ เอ 4 เจาะเป็น ตา จมูก ปาก โดยให้เหตุผลว่าจะให้มีคนเห็นไม่ได้ เพราะตนเองมีชื่อเสียง หน้าตานั้นเป็นเอกลักษณ์ที่คนจะรู้จักทันที เห็นเขาใส่หน้ากากแบบนี้จนชินตา ยกเว้นในบ้านของเขา
          ตอนนั้น สส.รายนี้ บอกว่า รู้จัก อธิบดีอัยการ ที่เป็นคนที่ทำงานด้วยกัน เขาสามารถช่วยเหลือเราได้ รวมทั้งยังมีการเซ็นเช็คเป็นตัวค้ำประกันไว้กับเธอด้วย จึงหลังเชื่อ โดยเช็คมีอายุ 6 เดือน  เขาเรียกเงินไป 3 ล้านบาทก้อนแรก หลังจากนั้นคดีก็เงียบไปเป็นปี หลังจากที่เธอไปรับทราบข้อกล่าวหา ทำให้หลงเชื่อว่า เงิน 3 ล้านที่จ่ายไปน่าจะช่วยประวิงเวลาอยู่ รวมทั้งเขายังคอยโทร. มาอัปเดตว่า เอาเงินไปมอบให้ ท่านอธิบดี แล้ว อย่าเพิ่งเอาเช็คไปขึ้นเงิน

          ต่อมา อดีต สส. รายนี้ บอกว่า มีการเปลี่ยนแปลงภายใน เปลี่ยนตัวอธิบดี ต้องจ่ายให้ท่านใหม่ 1.5 ล้านบาท เธอก็หลงเชื่อ เอาเงินให้เขาไปอีก แต่สุดท้ายก็ต้องไปขึ้นศาลชั้นต้น ศาลสั่งฟ้องทุกข้อหาเต็ม พิพากษาจำคุก 3 ปี ก่อนที่จะไม่สามารถติดต่อ สส. รายนี้ได้อีก  

ถูกหลอกซ้ำโดยนักธุรกิจ อ้างรู้จักอัยการใหญ่

          หลังจากนั้น เมื่อคดีเข้าสู่ชั้นอุทธรณ์ พี่เขยของแนะนำให้รู้จักกับ นักธุรกิจรายใหญ่ในพื้นที่ เป็นคนที่มีธุรกิจใหญ่ อ้างว่ารู้จักกับอธิบดีอัยการใหญ่ มีทีมทำงานอยู่ที่โคราช เขาช่วยเหลือได้แน่ วันที่ไปขึ้นศาลอุทธรณ์ ให้เตรียมตัวกลับมากินหมูกระทะได้เลย เธอหมดเงินกับคนนี้ไปอีก 4.5 ล้านบาท แต่ต่อมา ศาลพิพากษายืน เธอจึงถูกควบคุมตัวเข้าเรือนจำทันที ซึ่งทางคนที่ดีลให้ก็ยังบอกว่า จะมีการช่วยเหลือ ให้ได้รับการพักโทษ แต่สุดท้ายก็ติดคุกตามขั้นตอนทั้งหมดอยู่ดี

          หลังจากพ้นโทษ เธอพยายามติดต่อบุคคลทั้งสองเพื่อขอเงินคืน แต่ก็ไม่เป็นผล จึงตัดสินใจโพสต์เรื่องราวทั้งหมดลงในโซเชียล เพื่อเตือนภัยและเรียกร้องความเป็นธรรมให้ตัวเอง พร้อมยอมรับว่าปัจจุบันรู้สึกกังวลเรื่องความปลอดภัย เพราะบุคคลที่เกี่ยวข้องบางรายมีพฤติกรรมข่มขู่ และพยายามกดดันไม่ให้พูดเรื่องนี้ออกสื่อ
ขอบคุณข้อมูลจาก เที่ยงวันทันเหตุการณ์, โหนกระแส