ปิดฉากร้านทองจอมบิด ซื้อทองไม่ได้ทอง ขายทองไม่ได้เงิน ฝากทองไม่ได้คืน รวบ 2 ผู้บริหาร

          ปิดฉากร้านทองดัง บิดซื้อขายทองลูกค้า ซื้อทองไม่ได้ทอง ขายทองไม่ได้เงิน ฝากทองไม่ได้คืน ลงทุนไม่ได้อะไร สูญกว่า 500 ล้าน รวบแล้ว 2 ผู้บริหาร


          วานนี้ (26 มิถุนายน 2568) ข่าวช่อง 3 รายงานว่า กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) บุกค้นบริษัททองกลางกรุงเทพฯ และจับกุม 2 ผู้บริหาร คือ นายพิพัฒน์ อายุ 54 ปี และ นายอาศุพล อายุ 42 ปี

          โดยจับกุมในฐานความผิด ร่วมกันยักยอก, ร่วมกันฉ้อโกง, ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง และร่วมกันโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำผิดความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน

          การจับกุมนี้สืบเนื่องจากเมื่อเดือนมีนาคม 2568 กลุ่มผู้เสียหาย 69 ราย เข้าแจ้งความให้ดำเนินคดีกับบริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งเปิดในลักษณะร้านทอง แต่กลับมีการบ่ายเบี่ยงการซื้อ-ขายทองคำ ทั้งหน้าร้านและแอปพลิเคชัน ผู้เสียหายซื้อทองไม่ได้ทอง ขายทองไม่ได้เงิน ฝากทองไม่ได้คืน ลงทุนไม่ได้อะไร


          สำหรับบริษัทดังกล่าว ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการซื้อขายแลกเปลี่ยนทองคำผ่านหน้าร้านและแอปฯ มีรูปแบบธุรกิจเป็นการเทรดทองคำแท่งผ่านแอปฯ และเว็บไซต์ชื่อเดียวกับร้านทอง มีการรับซื้อ-ขายทองคำ รับหลอมทองคำ โดยชักชวนประชาชนให้สมัครสมาชิก เพื่อเทรด ซื้อ ขาย และนำทองคำมาหลอมที่บริษัท โดยเสนอรับซื้อในราคาที่ดีกว่าราคาตามที่สมาคมทองคำกำหนด คิดราคาหลอมต่ำกว่าผู้ประกอบการรายอื่น

          แต่ช่วงต้นปี 2568 บริษัทเริ่มผัดผ่อนการชำระเงินและส่งมอบทองคำ เมื่อทวงถามก็บ่ายเบี่ยง จนวันที่ 1 เมษายน ได้ประกาศระงับการให้บริการทุกช่องทอง ทำให้มีลูกค้าได้รับความเสียหายจำนวนมาก มูลค่าความเสียหายเบื้องต้นกว่า 500 ล้านบาท

          กระทั่งวันที่ 25 มิถุนายน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงนำหมายค้นเข้าตรวจ 3 จุด ที่กรุงเทพฯ จ.นครราชสีมา และ จ.ราชบุรี จนสามารถจับกุมตัว 2 ผู้บริหารร้าน คือ นายพิพัฒน์ และ นายอาศุพล ซึ่งเบื้องต้นทั้งคู่ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา

          พร้อมกันนั้นยังตรวจยึดหลักฐานต่าง ๆ คือ คอมพิวเตอร์ 22 เครื่อง โทรศัพท์มือถือ 3 เครื่อง แท็บเล็ต 2 เครื่อง โน้ตบุ๊ก 8 เครื่อง โทเคนธนาคาร 9 ชิ้น สมุดบัญชีธนาคาร 2 เล่ม ฮาร์ดดิสก์เก็บข้อมูล เอกสาร 14 ลัง รวมถึงอายัดบัญชีธนาคารที่เกี่ยวข้อง 21 บัญชี คิดเป็นยอดเงินรวมกว่า 54 ล้านบาท



ขอบคุณข้อมูลจาก ช่อง 3