
ภาพจาก instagram greeksinformed
วันที่ 20 มิถุนายน 2568 เว็บไซต์ ABC News รายงานว่า กลายเป็นเรื่องราวที่ชวนสะเทือนใจไปทั่วสหรัฐฯ กรณี อาเดรียน่า สมิธ หญิงตั้งครรภ์ที่สมองตาย ถูกโรงพยาบาลยื้อชีวิตไว้ด้วยเครื่องช่วยหายใจ เนื่องจากเธอนั้นกำลังตั้งครรภ์ได้ 8 สัปดาห์ โดยแพทย์อ้างว่า ไม่สามารถพิจารณาทางเลือกอื่นได้ตามกฎหมาย ก่อนที่อีก 4 เดือนต่อมา ทารกจะถูกทำคลอดออกก่อนกำหนด
อาเดรียน่า วัย 31 ปี ซึ่งเป็นอดีตพยาบาลที่รัฐจอร์เจีย สหรัฐฯ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลนอร์ธไซต์ ในแอตแลนตา เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ หลังมีอาการปวดหัวอย่างรุนแรง เธอได้รับยาและถูกส่งกลับบ้าน โดยไม่มีการซีทีสแกน หรือเฝ้าสังเกตอาการข้ามคืน ต่อมาแฟนหนุ่มพบว่าเธอหายใจไม่ออก จึงพาไปโรงพยาบาล เอโมรี่ เดเคเตอร์ และส่งต่อไปยังโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเอโมรี่ ซึ่งพบลิ่มเลือดในสมองหลายแห่ง เธอถูกประกาศว่าอยู่ในภาวะสมองตาย เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ซึ่งขณะนั้นเธอกำลังตั้งครรภ์ได้ 8 สัปดาห์
อย่างไรก็ดี เมื่อปี 2565 ศาลฎีกาสหรัฐฯ มีมติยกเลิกสิทธิ์การทำแท้งตามรัฐธรรมนูญที่เคยมีมากว่า 50 ปี (Roe v. Wade) และให้สิทธิ์ในการออกกฎหมายทำแท้งกลับไปอยู่ในการตัดสินใจของแต่ละรัฐ ซึ่งในรัฐจอร์เจีย มีกฎว่า ห้ามทำแท้งหลังอายุครรภ์ 6 สัปดาห์ โดยถือว่าทารกในครรภ์มีสถานะเป็นบุคคลตามกฎหมาย ยกเว้นบางกรณี เช่น การถูกข่มขืน, หากการตั้งครรภ์ คุกคามชีวิตหรือสุขภาพร่างกายของแม่ หรือ กรณีที่ ทารกในครรภ์มีความผิดปกติรุนแรงจนไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้หลังคลอด เป็นต้น
แม้ผู้พิพากษารัฐตัดสินว่ากฎหมายนี้ขัดรัฐธรรมนูญในเดือนกันยายน 2567 แต่ศาลฎีกาจอร์เจีย ก็กลับมาบังคับใช้กฎหมายอีกภายในหนึ่งสัปดาห์ต่อมา อย่างไรก็ดี ดูเหมือนว่ากฎหมายนี้ก็ไม่ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ต้องยื้อชีวิตผู้หญิงที่มีภาวะสมองตาย หากเธอตั้งครรภ์
ในแถลงการณ์ช่วงหนึ่งของ Emory Healthcare ต้นสังกัดของโรงพยาบาลที่ อาเดรียน่า เข้ารับการรักษา ระบุว่า บุคลากรของพวกเขาตัดสินใจทางการแพทย์โดยใช้ปัจจัยหลายด้าน โดยใช้ฉันทามติของผู้เชี่ยวชาญทางคลินิก วรรณกรรมทางการแพทย์ และแนวทางทางกฎหมายในการ และพวกเขามีหน้าที่ตามกฎหมายในการรักษาความลับของข้อมูลสุขภาพที่ได้รับการคุ้มครองของผู้ป่วย จึงไม่สามารถให้ความเห็นต่อกรณีเฉพาะเจาะจงได้

ภาพจาก เฟซบุ๊ก Lilith Silvestris
กรณีของ อาเดรียน่า กลายเป็นข่าวใหญ่ระดับประเทศ และก่อให้เกิดคำถามทางจริยธรรมและกฎหมายมากมายเกี่ยวกับ การยินยอมทางการแพทย์ ว่าใครควรเป็นผู้มีสิทธิ์ตัดสินใจแทนผู้ป่วยที่ไร้ความสามารถในการตัดสินใจโดยเฉพาะเมื่อตั้งครรภ์ และกฎหมายทำแท้งอาจทำให้การดูแลสุขภาพครรภ์ซับซ้อนขึ้นหรือไม่
มิเชล กู๊ดวิน ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญและนโยบายสุขภาพโลก จากมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ ให้ความเห็นว่า กรณีนี้สะท้อนถึงความสับสน (ภายหลังที่สหรัฐฯ มีมติให้สิทธิ์ในการออกกฎหมายทำแท้งกลับไปอยู่ในมือของแต่ละรัฐ) เพราะโรงพยาบาลเชื่อว่าพวกเขาไม่สามารถปล่อยให้หญิงที่เสียชีวิตทางสมองจากไปได้ เนื่องจากกฎหมายทำแท้งของรัฐเข้มงวดมาก พวกเขาจึงเชื่อว่าต้องทำทุกอย่างเพื่อรักษาทารกในครรภ์ให้มีชีวิตอยู่"
แม่ของอาเดรียน่า กล่าวว่า เธอคิดว่าผู้หญิงทุกคนควรมีสิทธิ์ตัดสินใจเอง และหากทำไม่ได้ สิทธิ์ก็ต้องเป็นของคู่ชีวิตหรือพ่อแม่ แม้ครอบครัวอาจไม่เลือกให้ยุติการตั้งครรภ์ก็ได้ แต่สิ่งที่เจ็บปวดคือเคสนี้ครอบครัวไม่มีสิทธิ์ในการตัดสินใจอะไรได้เลยเพราะข้อกฎหมาย ซึ่งแพทย์แจ้งว่า ทารกในครรภ์ของมีน้ำในสมอง และอาจมีปัญหาสุขภาพ เช่น ตาบอด หรือเดินไม่ได้
อาร์เธอร์ แคปแลน ศาสตราจารย์ด้านจริยธรรมทางชีวภาพ มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ให้ความเห็นว่า กรณีนี้ไม่ใช่เรื่องของการทำแท้งเลย การหยุดการรักษาร่างที่เสียชีวิตแล้ว ไม่ใช่การทำแท้ง ไม่มีทางที่มันจะเป็นได้ ไม่มีเหตุผลทางจริยธรรมที่โรงพยาบาลจะตัดสินใจโดยลำพัง ครอบครัวควรต้องมีส่วนร่วมที่จะตัดสินใจด้วย
ศาสตราจารย์ แทสเดียส โป๊ป จากวิทยาลัยกฎหมาย มิทเชล แฮมลิน มองว่า หากครอบครัวปฏิเสธที่จะยื้อชีวิต อาเดรียน่า ต่อ นั่นไม่ถือเป็นการทำแท้งตามนิยามของกฎหมาย

ภาพจาก เฟซบุ๊ก Therealbiggdracco
ขณะที่ สำนักงานอัยการสูงสุดของรัฐ ออกแถลงการณ์ในเดือนพฤษภาคม ว่า กฎหมาย LIFE Act ไม่ได้บังคับให้ โรงพยาบาลเอโมรี่ ต้องยื้อชีวิตอาเดรียน่าไว้
รายงานระบุว่า กรณีผู้ป่วยสมองตายเช่นนี้ หากไม่มีเอกสารแสดงเจตจำนงล่วงหน้า สิทธิ์ในการตัดสินใจจะตกเป็นของคู่สมรส บุตร หรือพ่อแม่ แต่ในกรณีของอาเดรียน่าซึ่งเสียชีวิตทางกฎหมายแล้ว เอกสารเหล่านี้ไม่สามารถใช้ได้ สิทธิ์ในการตัดสินใจควรตกเป็นของครอบครัว
แม้แพทย์หวังจะยื้อชีวิตอาเดรียน่าไว้จนถึงสัปดาห์ที่ 32 แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาต้องผ่าคลอดฉุกเฉินในสัปดาห์ที่ 25 โดยไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน โดยทารกเกิดมาหนักเพียง 0.822 กิโลกรัม และต้องอยู่ในหอผู้ป่วยวิกฤตทารกแรกเกิด
เคสที่ผู้ป่วยเสียชีวิตแต่ถูกยื้อชีวิตไว้เพื่อลูกในท้อง (นาน 4 เดือน) แทบจะหาข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบได้ยากมาก โดยบทวิจัยในปี 2557 พบว่า มีการยื้อชีวิตของแม่ไว้ 2–6 สัปดาห์เท่านั้น และจากการศึกษาของเยอรมนีระหว่างปี 2525-2553 มีเพียงทารก 12 รายเท่านั้นที่รอดชีวิตได้ในระยะ 28 วันแรกหลังคลอด
ขอบคุณข้อมูลจาก ABC News, New York Times