
ภาพจาก ช่อง 3
วานนี้ (12 พฤษภาคม 2568) เฟซบุ๊ก สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว รายงานกรณี น.ส.สุภาภรณ์ นิปวณิชย์ อัยการผู้เชี่ยวชาญสำนักงานคดียาเสพติด หรือ อัยการดาว ซึ่งเป็นผู้ทำคดี แตงโม นิดา เมื่อครั้งเป็นอัยการจังหวัดนนทบุรี ได้รับมอบอำนาจจากมารดาให้เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (สอท.) ให้ดำเนินคดีกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่หลอกลวงมารดาวัย 79 ปี ในรูปแบบโรแมนซ์สแกม หลอกให้รักผ่านช่องทางออนไลน์ จนโอนเงินไปหลายสิบครั้งภายใน 4-5 วัน คิดเป็นยอดความเสียหายถึง 760,000 บาท เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
โดย น.ส.สุภาภรณ์ เผยว่า ปกติคุณแม่จะมีบัญชีเงินฝากหลายธนาคาร มีทั้งบัญชีที่ทำอินเทอร์เน็ตแบงกิ้งไว้และไม่ได้ทำ มิจฉาชีพใช้วิธีสุ่มเลือกเหยื่อจากผู้สูงอายุ ที่ไม่มีความถนัดทางเทคโนโลยี เข้ามาขอเป็นเพื่อนทางเฟซบุ๊ก และพูดคุยตีสนิท เหยื่อก็จะดูไม่ออกเพราะไม่ได้เช็กว่าสมัครเฟซบุ๊กมานานแล้วหรือไม่
มิจฉาชีพที่หลอกคุณแม่ ใช้ชื่อว่า แฮรี่ อ้างเป็นนักธุรกิจเวียดนามที่ใช้ชีวิตอยู่ในอังกฤษ ใช้คำพูดหว่านล้อมคุณแม่ให้สมัคร WhatsApp จากนั้นก็พูดคุยกันจนคุณแม่เชื่อใจ ก่อนจะใช้กลอุบาย อ้างว่าติดปัญหาทางธุรกิจ หรือหลอกให้โอนเงินเพื่อจะส่งพัสดุมาให้ ซึ่งก็อ้างว่าน้ำหนักเกินบ้าง ติดเงื่อนไขอื่นบ้าง จนคุณแม่หลงกล โอนเงินจากบัญชีที่ใช้อินเทอร์เน็ตแบงกิ้งจนเกือบหมดบัญชี จำนวนเงินเกือบแสนบาท
นอกจากนี้ยังหลอกให้คุณแม่ไปถอนเงินจากบัญชีเงินฝาก มาฝากผ่านเคาน์เตอร์ธนาคารให้คนร้าย โดยโอนเข้าบัญชีม้านับสิบครั้ง ในเวลาเพียง 5 วัน รวมยอดเงิน 760,000 บาท
เมื่อ น.ส.สุภาภรณ์ ทราบเรื่องจึงมาแจ้งความที่ สอท. เพื่อเอาผิดกับคนร้าย ซึ่งเจ้าหน้าที่รับแจ้งความข้อหา นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จฯ เเละฉ้อโกงประชาชน จะมีการอายัดบัญชีเท่าที่เร็วที่สุดเท่าที่สามารถทําได้ ก็ทราบว่าในระบบแจ้งความออนไลน์ของ สอท. เมื่อมีคำสั่งอายัดบัญชีแล้วจะมีผลเลย ยืนยันจะดำเนินคดีถึงที่สุด
ต่อมาข่าวช่อง 3 รายงานว่า จากการสอบถาม น.ส.สุภาภรณ์ เผยว่าคุณแม่อาศัยอยู่คนเดียว จะมีลูกเดินทางไปเยี่ยมเป็นระยะ จนเมื่อวันที่ 8 เมษายน ที่ผ่านมา พี่ชายซึ่งอยู่เชียงใหม่ โทร. มาบอกว่าคุณแม่ โทร. ไปขอยืมเงินจำนวนหลายแสนบาท ลักษณะผิดปกติ เพราะคุณแม่มีเงินฝากอยู่แล้วเหตุใดต้องมาขอยืมเงิน จึงอยากให้ตนไปตรวจสอบ
ตนก็แปลกใจเพราะเพิ่งไปเยี่ยมคุณแม่มา แต่ท่านก็ไม่ได้เล่าอะไรให้ฟัง บอกว่าให้คนอื่นเดี๋ยวจะได้เงินคืน ตนสงสัยว่าคุณแม่อาจถูกหลอกให้ลงทุน ซึ่งก็เคยเตือนไปแล้ว จึงรีบไปหาคุณแม่กับรุ่นน้องอีกคน เมื่อดูโทรศัพท์มือถือของท่านก็พบว่ามีแอปฯ WhatsApp ติดตั้งอยู่ เมื่อให้รุ่นน้องไล่ดูข้อความก็พบว่าคุณแม่มีการโอนเงินไปจำนวนหลายแสนบาท จึงสอบถามและทราบว่าคุณแม่ถูกมิจฉาชีพหลอกเข้ามาตีสนิทในทางชู้สาว
โดยมีการเบิกเงินสดจากบัญชีฝากประจำ จำนวน 300,000 บาท เบิกเงินจากบัญชีออมทรัพย์ จำนวน 150,000 บาท ตั๋วจำนำทอง 4 ใบ รวม 160,000 บาท และเบิกเงินสดบัตรเครดิตจำนวน 150,000 บาท โดยคุณแม่แจ้งว่าโอนเข้าบัญชี แฮรี่ ที่อ้างเป็นคนเวียดนาม แต่เงินทั้งหมดโอนเข้าบัญชีปลายทางที่มีชื่อเป็นคนไทย

ภาพจาก สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว
สำหรับ แฮรี่ บุคคลที่เข้ามาพูดคุยกับคุณแม่ ได้บอกว่ารักมาก จะมาใช้ชีวิตด้วยกัน จะซื้อของให้เพื่อเป็นที่ระลึกกับความรักและขอที่อยู่คุณแม่ คุณแม่ปฏิเสธแล้วว่าไม่อยากได้ บอกปัด 2-3 วัน จนคุณแม่บอกว่าให้ซื้อเสื้อผ้าให้พอ แต่อีกฝ่ายก็ส่งของมาโดยอ้างว่าเป็นเซอร์ไพรส์ มีการส่งทรัพย์สินมาเป็นทองคำ นาฬิกา เครื่องประดับ มีการให้หมายเลขพัสดุมา แต่อ้างว่าต้องมีค่าธรรมเนียมในการส่ง และก็มีการหลอกไปเรื่อย ๆ
จนเมื่อคุณแม่โอนเงินไปมากขึ้นและจะหยุดโอน ฝ่ายนั้นกลับข่มขู่คุณแม่ว่าจะแจ้งตำรวจว่าลักลอบขนทรัพย์สิน ท่านก็ให้แจ้งตำรวจเพราะท่านไม่กลัว แต่สุดท้ายแฮรี่ก็ขู่ว่าจะกินยาพิษฆ่าตัวตาย ทำให้ท่านใจอ่อน ยอมเบิกเงินฝากโอนไปให้ เอาทองที่สะสมไว้ไปจำนำ และกู้เงินโดยเบิกเงินสดจากบัตรเครดิต
เดินเรื่องไม่ง่าย กว่าจะจับคนร้ายได้ เหยื่อจะยังอยู่ไหม ?
น.ส.สุภาภรณ์ แสดงความเห็นว่า กรณีนี้เป็นคุณแม่ของตน ตนรู้เรื่องทางกฎหมายและการเดินเรื่อง แต่หากเป็นคนชราอื่น ๆ การติดต่อธนาคารจะยากมาก ขนาดตนโทร. คุยกับเจ้าหน้าที่ธนาคาร ยังยากที่จะอธิบายให้เข้าใจ เจ้าหน้าที่ธนาคารก็จะทำตามระบบของเขา ซึ่งสำหรับตนมันไม่ตรงตามข้อกฎหมาย เรื่องที่คุณแม่ถูกหลอกมีหลายขั้นตอน กว่าจะถึงศาล กว่าจะจับคนร้ายได้แต่ละคน คนชราจะอยู่ถึงไหม
จากที่นั่งอ่านข้อความที่คุณแม่ถูกหลอกทุกบรรทัด ตนรู้ว่ากลุ่มคนเหล่านี้ต้องใช้วิธีที่ร้ายแรงโต้ เพราะโทษก็ไม่ได้สูง ในการเดินเรื่องผ่านระบบทางธนาคารก็ไม่รีบอายัด กรณีที่ไปฝากเงินให้มิจฉาชีพที่ธนาคาร โดยอ้างว่าไม่มีบัญชีต้นทาง บอกอย่างเดียวว่าอายัดไม่ได้ มีบางธนาคารทำให้แต่ต้องมีตำรวจยืนยันให้
ทั้งนี้ อยากฝากให้ประชาชนมีความระมัดระวัง คอยตรวจสอบผู้ปกครองและเด็ก ให้หมั่นนำโทรศัพท์มาตรวจดูว่ามีใครทักมาหลอกคุยหรือไม่ เพราะทั้งคนชราและเด็กเมื่อเกิดเรื่องจะไม่บอก เขาจะเงียบ จะแอบคุยกันตอนลูกไปทำงาน กรณีคุณแม่เป็นครั้งที่ 2 แล้ว ซึ่งตนกับพี่ชายก็ระมัดระวังป้องกันแล้ว ให้เอาเงินไปฝากประจำที่โอนออนไลน์ไม่ได้ ก็ยังถูกหลอก ตอนนี้ให้เงินคุณแม่ติดบัญชีเดบิตแค่ 10,000 บาท ที่เหลือเป็นเงินสด เพราะท่านไม่ได้มีค่าใช้จ่ายอะไร
ขอบคุณข้อมูลจาก สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว, ช่อง 3