วันที่ 18 กันยายน 2566 เดลินิวส์ รายงานว่า พล.ต.อ. ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. เปิดเผยกรณีการโอนคดี พ.ต.ต. ศิวกร สายบัว หรือ สารวัตรแบงค์ ไปให้กองปราบปรามเป็นผู้ทำคดีว่า ในคดีนี้จุดเริ่มต้นคือการที่นายธนัญชัย หมั่นมาก หรือ หน่อง เป็นคนยิงสารวัตรแบงค์ จากนั้นทางกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ได้มีการรวบรวมพยานหลักฐานจนออกหมายจับ ทั้งนายประวีณ จันทร์คล้าย หรือ กำนันนก และนายหน่อง มือปืน จนต่อมาก็มีการวิสามัญมือปืน ซึ่งกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางได้มีการเสนอมายังตนว่า คดีดังกล่าวเป็นคดีที่เกี่ยวเนื่องกับผู้มีอิทธิพลและเป็นคดีสำคัญ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและรอบคอบในการทำคดี เพราะเมื่อใดที่ในพื้นที่นั้นมีคดีเกี่ยวกับผู้มีอิทธิพล ก็จะไม่ได้รับความไว้ใจในกระบวนการยุติธรรม ตนก็เห็นชอบที่จะให้มีการโอนคดีมาที่กองปราบปราม
ต่อมาสำนวนที่ บช.ภ.7 มีการสอบสวนพบว่า มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดี 6 คน ในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามมาตรา 157 ในคดีนี้เจ้าหน้าที่ยังไม่ได้รับการประกันตัว ทาง บช.ภ.7 เห็นว่าในคดีนี้เป็นคดีเดียวกัน จึงได้มีการเสนอมาทาง ผบ.ตร. เพื่อขอโอนสำนวนคดีมาให้ทางกองปราบปรามทำคดี เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2566 ซึ่งตนก็ได้อนุมัติการโอนสำนวนไปให้กองปราบปรามทำคดีเมื่อวันที่ 14 กันยายน ที่ผ่านมา การโอนคดีกำนันนกนั้น ไม่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งในการทำคดีนี้ โดยตนจะดูในภาพรวมทั้งหมด และให้ทาง บช.ก. และ บช.ภ.7 ลงไปทำหน้าที่ในส่วนของตัวเองให้เร็วที่สุด
ด้าน พล.ต.ท. จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. กล่าวตอนหนึ่งภายหลังประชุมร่วมกับหน่วยงาน 11 หน่วยงาน ภายใต้สังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อเร่งดำเนินคดีนี้ว่า แนวทางการดำเนินการต่อจากนี้ วางกรอบการทำงานออกเป็น 3 สเตป คือ 1. การขยายผลแก๊งคนร้าย เส้นทางการเงิน ข้อมูลออนไลน์ และสิ่งผิดกฎหมาย 2. ดูเรื่องการฮั้วประมูล เพื่อพิสูจน์ทราบให้ได้ว่าเพราะเหตุใดทำไมกำนันนก ถึงชนะการประมูลได้รับงานโครงการต่าง ๆ จำนวนมาก ซึ่งในส่วนนี้พบความผิดปกติหลายอย่าง อาทิ ชนะการประมูลงานมากกว่าร้อยละ 80 อื่น ๆ และ 3. เร่งปราบปรามผู้มีอิทธิพล ซึ่งเราจะไม่ใช่แค่ระดมกำลังเข้าตรวจค้นเป้าหมายแล้วเลิก แต่จะต้องตัดวงจรทั้งเครือข่าย ยึดทรัพย์ ซึ่งเป็นแนวทางที่กองปราบทำมาโดยตลอด
พล.ต.ท. จิรภพ กล่าวว่า ยินดี และพร้อมที่จะประสานงานร่วมกันกับ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในคดีนี้ พร้อมร่วมมือกับทุกหน่วยงาน ขอให้ยึดข้อเท็จจริงตรงไปตรงมาเป็นหลัก และดำเนินการเป็นไปในสิ่งที่ควรจะเป็นก็พอ และยังกล่าวด้วยว่า อย่างกรณีของ ผกก. รายหนึ่ง ซึ่งจังหวะแรกไม่มีการช่วย ก่อนที่จังหวะ 2 จะมาโผล่ที่โรงพยาบาล แต่การจะตัดสินว่าเป็นความผิดมาตรา 157 หรือไม่ ต้องขอดูละเอียดให้แน่ชัด
ส่วนกรณีของ ร.ต.อ. จตุรวิทย์ ชวาลเกียรติธนา รอง สวป.สภ.เมืองนครปฐม ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่ช่วยประคองคนเจ็บ ก่อนต่อมาจะปรากฏภาพว่าหลังเกิดเหตุได้ไปขับรถนำขบวนคุ้มกันให้กับกำนันนกนั้น ต้องแยกเป็น 2 ส่วน ในส่วนช่วยก็ถือว่าดี แต่ส่วนที่ไปช่วยผู้ต้องหาก็ต้องถือว่าผิด ทั้งนี้ยืนยันไม่มีช่วยเหลือใคร ไม่ว่าจะยศใด หากผิดดำเนินการเต็มที่ไม่มีละเว้น แต่ต้องบอกก่อนว่าการทำงานของเราอาจไม่ทันใจผู้ชม เพราะอยากตรวจสอบให้ครบทุกด้านทุกมิติ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก เดลินิวส์